ที่มา : ข่าวประชาไท 24/5/2551 www.prachatai.com
สาริกาหัวทุ่ง สำนักข่าวเชียงดาว
ปิดเทอมฤดูร้อนที่เพิ่งผ่าน เชียงดาว เมืองเล็กๆ ในหุบเขาได้รับพลังและชีวิตชีวาแห่งวัยเยาว์อย่างล้นเหลือจาก เด็กๆ ยุวชนหลายภาคที่เดินทางมาเข้าร่วมกิจกรรมค่ายซึ่งจัดขึ้นถึงสามค่าย ด้วยกัน
ค่ายแรกนั้นจัดขึ้นที่มูลนิธิสื่อชาวบ้าน หรือกลุ่มละครมะขามป้อม ซึ่งไม่ได้มีที่ทำการเฉพาะในกรุงเทพฯเท่านั้น แต่ยังได้ขยายพันธุ์มาหยั่งรากลงที่เชียงดาว ตั้งศูนย์ละครชุมชนและจัดอบรมเชิงปฏิบัติการในท้องนา ใกล้ๆ กับแม่น้ำปิง มียอดดอยเชียงดาวตั้งตระหง่านอยู่ไม่ไกล “ค่ายละครเพื่อพัฒนาอัจฉริยภาพ” คือชื่อเรียกขานอย่างเป็นทางการ
เด็กๆ เกือบ 50ชีวิต ทั้งจากลำพูน กรุงเทพฯ อุบลราชธานี สงขลา น่าน แม่ฮ่องสอน และเชียงใหม่ รวมทั้งเด็กเชียงดาวเอง มารวมตัวกันตั้งแต่วันที่ 16 เมษายนที่ผ่านมา เพื่อฝึกฝนเรียนรู้ทักษะด้านการละคร และใช้ชีวิตร่วมกันภายใต้การดูแลของพี่เลี้ยงและวิทยากรจนถึง วันที่ 30 เมษายน หลังจากนั้น พอค่ายละครใกล้จะจากลา เด็กอีกกลุ่มใหญ่ก็เดินทางมาถึงริมดอยรีสอร์ต บนไหล่เขา ริมทางสู่อำเภอเวียงแหง เพื่อเข้าร่วมกิจกรรม “ค่ายสร้างสรรค์ภาษาและวรรณกรรม” ตั้งแต่วันที่27 เมษายน ไปจนถึง 6 พฤษภาคม
ทั้งสองค่ายที่กล่าวมา คือส่วนหนึ่งในโครงการค่ายที่จัดขึ้นในช่วงปิดภาคเรียนฤดูร้อน 9 ค่ายของศูนย์ส่งเสริมอัจฉริยภาพและการเรียนรู้แห่งชาติ หรือ สสอน. หนึ่งในหน่วยงานของสำนักบริหารองค์ความรู้แห่งชาติ เจ้าของโครงการ TKPark ที่เราเห็นผ่านจอโทรทัศน์ จากเดิมที่มีเพียงค่ายวิชาการ ปีนี้มีการจัดค่ายเฉพาะทางเพิ่มขึ้นได้แก่ ค่ายศิลปะ ค่ายดนตรี ค่ายละคร และวรรณกรรม
ซึ่งนับเป็นนิมิตหมายอันดียิ่งในการพัฒนาเยาวชนของชาติเพื่อ ความเป็นอัจฉริยะรอบด้านทั้งสมองและหัวใจ เป็นเรื่องพิเศษที่สถานที่ตั้งค่ายวรรณกรรมและ ละครมาประจวบเหมาะพอดีที่เชียงดาว เมืองเล็กๆ เงียบสงบ ต้นธารน้ำแม่ปิง ซึ่งมีธรรมชาติแวดล้อมอันสวยงามสมบูรณ์ เหมาะแก่การสร้างแรงบันดาลใจทางศิลปะ ในส่วนของค่ายวรรณกรรมซึ่งดำเนินการโดยภาควิชาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่นั้น แบ่งการเรียนรู้เป็นสามกลุ่ม กลุ่มที่สอนเกี่ยวกับการพูด วิทยากรคืออาจารย์สมพงษ์ วิทยศักดิ์พันธ์ ส่วนบทกวี เรื่องสั้น-นวนิยาย นั้นมีวิทยากรที่เป็นกวีและนักเขียนซีไรต์ถึง 3 ท่านได้แก่ อาจารย์มาลา คำจันทร์ สอนเกี่ยวกับเรื่องสั้นและนิยาย อาจารย์แรคำ ประโดยคำ สอนเรื่องกวีนิพนธ์ร่วมกับกวีล้านนา อาจารย์วิลักษณ์ ศรีป่าซาง และกวีซีไรต์ในดวงใจเด็กๆ เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ วิทยากรรับเชิญซึ่งมาร่วมบรรยาย อ่านบทกวี และเป่าขลุ่ยให้เด็กๆ ฟังอย่างได้จินตนาการตลอดหนึ่งวันเต็มๆ
ส่วนค่ายละครมะขามป้อมนั้น นอกจากพี่เลี้ยงซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายละครเข้ามาทำหน้าที่ดูแล และจัดกระบวนการเรียนรู้ให้แก่เด็กๆ แล้ว ยังมีวิทยากรนักละคร คุณประดิษฐ์ ประสาททอง เลขานุการมูลนิธิฯ มาให้ความรู้เกี่ยวกับเทคนิค-อาวุธนักแสดง คุณริชาร์ด บาร์เบอร์ เจ้าหน้าที่ฝ่ายต่างประเทศ สอนเรื่องดนตรีสร้างสรรค์ แนะนำวิธีสร้างเสียงต่างๆ จากวัสดุที่หาได้ใกล้ๆ ตัว โดยมีคุณพฤหัส พหลกุลบุตร ผู้อำนวยการฝ่ายละครการศึกษาทำหน้าที่ผู้อำนวยการดูแลความ เรียบร้อยของค่าย
กระบวนการของมะขามป้อมนั้นรวมการคิดเรื่อง การสร้างภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว และบทพูดที่ต่อเนื่องเป็นเรื่องราวของละครร้อยเข้าด้วยกัน โดยเน้นการทำงานเป็นทีมให้เด็กๆ ร่วมด้วยช่วยกันทุกขั้นตอน นอกจากนั้นแนวทางละครชุมชนที่พวกเขามีประสบการณ์มายี่สิบกว่าปีก็ทำ ให้ชาวเชียงดาวพลอยได้ชมผลงานละครสร้างสรรค์ของเด็กถึงหน้าตลาด และกลางลานวัด
น้องๆ ยังได้เข้าไปทำความรู้จักกับชุมชนเชียงดาว นำความรู้ที่ได้จากการสังเกตและสัมภาษณ์ มาฝึกฝนทักษะการสวมบทบาทการแสดง และสร้างเนื้อหาละครสองเรื่อง สำหรับละครโรงใหญ่ที่จัดขึ้นก่อนปิดค่าย เปิดโอกาสให้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ชาวเชียงดาวเข้าชม ส่วนเด็กๆ จากค่ายวรรณกรรมนั้นได้ไปเที่ยวถ้ำเชียงดาวอันมีหินงอกหินย้อยสวยงาม และคารวะสถูป อนุสรณ์สถานของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชที่ ต.เมืองงาย ก่อนจะกลับมาสร้างสรรค์เป็นงานเขียน
เด็กๆ เหล่านี้เลือกมาค่ายด้วยใจรัก น้องๆ ที่มาค่ายวรรณกรรมมีพื้นฐานการเรียนวิชาภาษาที่ดีมาก่อน (ต้องได้เกรด 4) และเขียนเรียงความ “ค่ายในฝัน” ชนะใจกรรมการจนได้รับคัดเลือก เช่นเดียวกับค่ายละคร เด็กส่วนใหญ่มีประสบการณ์มาบ้างแล้ว ในระดับท้องถิ่นหรือละครโรงเรียน และมีใจรักด้านการแสดง จำนวนเด็กที่มาค่ายนั้นคละกันไป ระหว่างเด็กหัวแหลม หรือเด็กในโครงการของ สสอน.กับเด็กทั่วไปที่สนใจสมัคร
“ประทับใจค่ายนี้มากค่ะ ได้เจอกวีในดวงใจ ได้รู้จักเพื่อนพี่ดีๆ ที่เราสามารถปรึกษาได้ทุกเรื่อง” น้องฝน หรือ ด.ญ สุพิชญา ขัตติยะมาน ชั้นม.2 ร.ร มหาวชิราวุธสงขลา จากค่ายสร้างสรรค์วรรณกรรมและภาษากล่าว
“ประทับใจเพื่อนๆ มากที่สุดครับ เพราะเป็นการรวมคนที่ชอบสิ่งเดียวกันมาอยู่ด้วยกัน พูดนิดเดียวก็เข้าใจ” น้องไวไว หรือชวิน พงษ์ผจญ ชั้น ม.5 ร.ร บดินทรเดชา นักกลอนมือรางวัลจากค่ายเดียวกันกล่าว
“ปีหน้าหนูก็จะไปค่ายนี้ค่ะ ไม่ไปค่ายอื่น ชอบค่ายละครที่สุด” น้องเชน ด.ญ.ชาวาร์ เกษมสุข ม.2 ร.ร.เชียงดาววิทยาคม จากค่ายละครกล่าวตาแดงๆ ขณะโบกมืออำลาเพื่อนๆ
ทั้งสองค่ายข้างต้นนั้นเป็นโครงการจากส่วนกลาง ยกเว้นค่ายสุดท้ายซึ่งจัดขึ้นช่วงสั้นๆ เมื่อวันที่ 8-10 พฤษภาคม 2552 ณ หน่วยจัดการต้นน้ำดอยผาแดง บนเขาลูกหนึ่งแห่งเทือกทิวที่กั้นระหว่างอำเภอเชียงดาวและพร้าว ค่าย “เยาวชนรักษ์ป่าต้นน้ำแม่ป๋าม” เกิดขึ้นจากความร่วมมือของคนเล็กๆในท้องถิ่น ระหว่างหน่วยจัดการต้นน้ำดอยผาแดง, มูลนิธิสื่อชาวบ้าน (มะขามป้อม) รวมทั้งกวี และนักเขียนในชุมชนอำเภอเชียงดาว โดยการสนับสนุนจากองค์การบริหารส่วนตำบลปิงโค้ง
น้องๆ ที่เข้าร่วมกิจกรรมเป็นเด็กเชียงดาวจากหลายหมู่บ้าน ตั้งแต่ระดับม.ต้นจนถึงม.ปลาย จุดประสงค์ของค่ายมุ่งให้เด็กๆได้รู้จักรักใคร่สมัครสมานกัน ผ่านสายสัมพันธ์ทางสายน้ำ โดยอาศัยน้ำป๋าม ซึ่งเป็นสายน้ำใหญ่ใน ต.ปิงโค้งเป็นหลัก ก่อนที่น้ำป๋ามจะไหลไปรวมกับน้ำปิงเข้าสู่ตัวเมืองเชียงดาวนั้น มีสายน้ำย่อยหลายสายไหลมาสมทบ เด็กๆ มาจากชุมชนต้นน้ำเหล่านั้นนั่นเอง ทั้งเด็กพื้นราบ เด็กชนเผ่า ปะกากะญอ และลาหู่ พวกเขาเหล่านี้อาศัยอยู่ตามป่าเขาและไหล่ดอย เป็นผู้ที่อยู่ใกล้ชิดป่าไม้ คือคนสำคัญที่จะช่วยดูแลต้นน้ำให้สะอาดเปี่ยมเต็มสำ หรับคนเมืองมากมายที่อยู่ปลายน้ำ กิจกรรมในค่ายนอกจากเกม การสันทนาการที่เป็นกระบวนการเรียนรู้เพื่อให้น้องๆ เกิดความเข้าใจความสัมพันธ์ของตนและธรรมชาติแล้ว ยังมีวิทยากรซึ่งเป็นผู้รู้ในชุมชนมาให้ความรู้และอยู่ร่วม กับพวกเขาตลอดทั้งสามวัน เด็กๆ ได้ฟังเรื่องราวความเป็นมาของหมู่บ้าน ป่าเขา การทำมาหาเลี้ยงชีพ การหาอยู่หากินในอดีตจากผู้เฒ่าผู้แก่ และได้เรียนรู้จากการเดินป่ารอบๆ บริเวณที่ตั้งค่าย โดยมีปราชญ์ชาวบ้าน คุณภาคภูมิ โปธา และเจ้าหน้าที่ท่านอื่นจากหน่วยจัดการต้นน้ำดอยผาแดง พาไปดูแนวป้องกันไฟป่า ศึกษาแหล่งน้ำซับ ชีวิตสัตว์ และพืชผักอาหารป่า จากป่าเขาอันมีชีวิต
นอกจากนั้นพวกเขายังได้ทดลองทำสื่ออย่างง่าย เพื่อนำความรู้ที่ได้ไปเผยแพร่ เด็กๆสนใจสร้างงานกันอย่างกระตือรือร้น วิทยากรจากฝ่ายละครชุมชนมะขามป้อม คุณสุรารักษ์ ใจวุฒิ และนักเขียนนักแปล รวิวาร โฉมเฉลา ร่วมสอนการทำสื่อประชาสัมพันธ์ คุณวีรวรรณ กังวานนวกุล จากฝ่ายละครการศึกษาสอนเด็กๆ เรื่องละคร ส่วนนิทรรศการเคลื่อนที่นั้นมีคุณพายัพ แก้วเกร็ด นักจัดกิจกรรมและศิลปินอิสระจากกรุงเทพฯ เป็นผู้ให้ความรู้ นอกจากนั้นเด็กๆ ยังได้รับฟังดนตรีจากกวีนักเขียน สุวิชานนท์ รัตนภิมล ซึ่งเดินทางมาร้องเพลงให้น้องๆ ฟังด้วยใจ และได้ฝึกหัดร้องเพลงค่าย ซึ่งแต่งและร้องโดยพี่กวี ภู เชียงดาว ในค่ำคืนพรายดาวคืนหนึ่ง วันสุดท้าย เด็กๆ เฮโลกันขึ้นนั่งท้ายรถกระบะ เดินทางไปบ้านป่าตึงงามที่อยู่ไม่ไกลนักเพื่อนำผลงานที่ได้จาก การเรียนรู้ไปทดลองเผยแพร่ พวกเขามุ่งตรงไปยังศูนย์เด็กเล็กในหมู่บ้าน จัดการแขวนป้ายผ้ารณรงค์เรื่องน้ำ แสดงละครให้เด็กเล็กๆ ดู และเสนอนิทรรศการตัวการ์ตูนหุ่นกระดาษระบายสีสวมลงบนตัว ตรงพุงมีข้อความเกี่ยวกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม นั่นคือ พลังเยาวชนจากกิจกรรมค่ายที่เชียงดาว แม้ว่าสองค่ายแรกจะเป็นเด็ก พิเศษ มาจากเมือง มีความสามารถโดดเด่น ส่วนเด็กกลุ่มหลังอยู่ในพื้นที่ห่างไกล บางคนอาจไม่กล้าแม้แต่จะพูดภาษาไทย ทว่า สิ่งที่เหมือนๆ กัน คือแววตาเปล่งประกายที่เกิดขึ้นขณะอยู่ค่าย ความสุข สนุกสนาน และแรงบันดาลใจที่แสดงออกในผลงานและอากัปกิริยา รวมทั้งโลกทัศน์และชีวทัศน์ใหม่ที่พวกเขาจะได้ติดตัวกลับไป ชวนให้คิดว่า การจัดค่ายน่าจะเป็นกิจกรรมสร้างสรรค์ที่ผู้ใหญ่สามารถทำให้เด็ก ได้ อาจจะไม่จำเป็นต้องยิ่งใหญ่ หรืออาศัยผู้เชี่ยวชาญ ค่าตัวแพงๆ เพียงแค่ค่ายเล็กๆ ในชุมชน สำหรับเป็นแหล่งเรียนรู้และเป็นทางเลือกให้กับเด็กและเยาวชนใน ช่วงวันหยุดยาว หรือช่วงปิดภาคเรียน เพื่อที่แหล่งเกมออนไลน์ หรือกิจกรรมอื่นอันไม่สร้างสรรค์จะไม่ฉกชิงประชาชนน้อยๆ เหล่านี้ไป....
เราอาจจะพอหวังได้ว่า ในอนาคตจะมีผู้ใหญ่เปี่ยมคุณภาพและจิตสำนึก เกิดขึ้นในบ้านเมืองมิใช่น้อย
|
| |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น