วันพฤหัสบดีที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2551

แผลงฤทธิ์…กลุ่มสถาปนิกหนุ่มสาวที่มีกำลังมาแรงแห่งเมืองเชียงใหม่

แผลงฤทธิ์…กลุ่มสถาปนิกหนุ่มสาวที่มีกำลังมาแรงแห่งเมืองเชียงใหม่
June 18th, 2008



‘แผลงฤทธิ์’ ไม่ใช่ชื่อภาพยนตร์กำลังภายใน แต่เป็นกลุ่มสถาปนิกเลือดใหม่ที่มีชื่อติดหู
ซึ่งมีผลงานการออกแบบอาคารรูปลักษณ์ไม่เหมือนใคร ที่กระจายตัวอยู่ในเชียงใหม่ทุกวันนี้
ผลงานการออกแบบของคนหนุ่มสาวกลุ่มนี้กำลังมาแรงและมีบทบาทไม่น้อยในการตกแต่ง
โฉมหน้าส่วนหนึ่งของเมืองเชียงใหม่ให้ดูทันสมัย ด้วยแนวคิดและการออกแบบอาคารที่เป็นเอกลักษณ์




สำนักงานของแผลงฤทธิ์ถูกออกแบบให้มีความเรียบง่ายตรงไปตรงมาดูทันสมัย เปิดเผยให้เห็นพื้นผิวของ
วัสดุจริงประกอบกับบานกระจกทรงสูงโปร่งให้ความต่อเนื่องของพื้นที่ภายนอกและภายใน ซึ่งโดดเด่นจาก
อาคารและบ้านเรือนในละแวกใกล้เคียงคนอาจจะเรียกงานที่เราทำว่าเป็นแนวโมเดิร์น เพราะดูผิดหูผิดตา
ไปจากคนอื่น ผมเคยถามคนทั่วไปว่าตรงไหนที่คิดว่าเป็นเอกลักษณ์ของเรา เขาบอกว่าตรงที่เราใช้เหล็ก
และใช้ไม้แบบนี้แหละ เรามักใช้วัสดุที่หาได้ในท้องถิ่นไม่กี่ชนิดเช่น ปูน ไม้ และเหล็ก ที่สามารถสร้างขึ้น
ได้ง่ายและมีราคาไม่แพง ที่จริงแล้วผมว่าเป็นสไตล์ของเราเองมากกว่าซึ่งมักมาจากการแก้ปัญหาต่าง ๆ
และความต้องการในสร้างอาคารในฝันบนพื้นฐานการมีวัสดุและงบประมาณที่จำกัด” ขวัญชัย สุธรรมซาว
สถาปนิกและผู้บริหารหนุ่ม วัย 30 ปี แห่งแผลงฤทธิ์กล่าวเขาเสริมว่าพื้นฐานการออกแบบของแผลงฤทธิ์
นั้นมีองค์ประกอบสำคัญมาจากพัฒนาการของวัสดุพื้นฐานใน ปัจจุบันซึ่งเอื้ออำนวยให้แนวความคิดการ
ออกแบบนั้นมีขอบเขตที่กว้างขวางกว่าเดิม เช่นการมีแผ่นเหล็กหรือเมทัลชีทที่ช่วยให้สามารถออกแบบ
โครงสร้างหลังคาที่แตกต่างไป แทนการใช้คอนกรีตเทที่มีน้ำหนักมาก หรือกระจกบานสูงที่ช่วยให้ผู้ออก-
แบบสร้างงานตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้หลากหลายมากขึ้น



ขวัญชัยเป็นชาวเชียงใหม่โดยกำเนิด จบการศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพจากสถาบันราชมงคลล้านนา
และสำเร็จระดับอุดมศึกษาจากคณะคุรุศาสตร์สถาปัตยกรรม สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าลาดกระบัง
กรุงเทพ ในช่วงดังกล่าวนั้นเขามีผลงานการออกแบบที่ได้รับรางวัลเชิงความคิดสร้างสรรค์จากงานประกวด
แบบทางสถาปัตยกรรมหลากหลายเช่น รางวัลรองชนะเลิศ โครงการสาทร 2000 ของสถานทูตฝรั่งเศสในปี
2542 รางวัลรองชนะเลิศผลิตภัณฑ์ยิมซั่มไทย ปี 2543 รวมทั้งรางวัลรองชนะเลิศอันดับสามศูนย์ออกแบบ
สีนิปปอนใน ปี 2546

“พอเรียนจบมาก็ทำงานกราฟิกดีไซน์ เพราะตอนนั้นบรรยากาศของวงการสถาปนิกที่เรารับรู้มามันไม่ค่อยดี
ทำให้ไม่อยากเป็นสถาปนิกไปพักใหญ่ อยู่มาวันหนึ่งได้อ่านหนังสือ ‘Rich dad, Poor dad’ เข้าทำให้เกิด
จุดเปลี่ยนทางความคิดว่าเราน่าจะเลือกทางเดินที่คนอื่นไม่ค่อยเลือกคือการทำธุรกิจของตัวเอง ถึงแม้มี
ความเสี่ยงแต่ถ้าไม่สำเร็จก็คิดว่ายังกลับมาสมัครงานบริษัทต่างๆ อีกได้ ในเมื่อเรามีความรู้ความสามารถ”

ขวัญชัยทบทวนความหลังถึงจุดเปลี่ยนในวันที่เขาตัดสินใจขายรถ และลาออกจากงานที่กรุงเทพเพื่อกลับ
มาทำธุรกิจที่บ้านเกิด โดยตัดสินใจเปิดร้านกาแฟที่เชียงใหม่ โดยใช้ความรู้ทางสถาปนิกออกแบบร้านใช้
ชื่อว่า Café Mong Pearl ซึ่งต่อมาได้ขายต่อกิจการไป เมื่อหันมาทำบริษัทสถาปนิกอย่างจริงจัง

“ห้าปีก่อนนั้นร้านกาแฟกำลังบูม คิดว่าทำไมสตาร์บัคยังทำได้ เห็นว่ากาแฟมีต้นทุนไม่แพง แต่เมื่อทำเข้า
จริงนั้นไม่เป็นไปอย่างที่คิด เพราะมีอะไรอย่างอื่นอีกมาก ปรากฎว่าทำไปใช้หนี้ค่าตกแต่งร้านไป ไม่เหลือ
กำไรเท่าไร จังหวะนั้นมีเพื่อนที่เรียนสถาปัตยกรรมมาด้วยกันชวนให้ทำงานออกแบบด้วย ก็เลยทำทั้งร้าน
กาแฟและงานออกแบบวุ่นวายไปหมดบริหารจัดการไม่เป็น บังเอิญมีคนสนใจขอซื้อกิจการร้านกาแฟจึงขาย
ไปและตั้งใจกลับไปหางานใหม่ แต่เพื่อนก็ชวนให้มาลุยเปิดบริษัทกันเอง อันเป็นที่มาของแผลงฤทธิ์ในวันนี้”

ขวัญชัยท้าวความถึงจุดเริ่มต้นทางธุรกิจในปี 2548 โดยกล่าวว่าวิธีการแก้ไขปัญหาที่ดีที่สุดคือความชัดเจน
และเอาบทเรียนต่าง ๆ ที่เคยล้มเหลวทางธุรกิจมาใช้ในการบริหารจัดการบริษัทแผลงฤทธิ์จนสามารถยืนหยัด
อยู่ได้จนมีทีมงานซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่กว่าสิบห้าคนในวันนี้

“ชื่อแผลงฤทธิ์นั้น มันคือกิริยาของคนที่อึดอัดแล้วต้องแสดงออก แต่ไม่ใช่ในรูปแบบของความก้าวร้าว
แต่เป็นการแก้ปัญหาและเปลี่ยนแปลงวิกฤติให้เป็นโอกาส เกิดเป็นผลงานที่มีผลกระทบมาก”



ผลงานการออกแบบอาคารของแผลงฤทธิ์ก็เริ่มเป็นที่รู้จักและแนะนำกันไปปากต่อปาก นับตั้งแต่การออกแบบ
บ้าน โครงการบ้านพักอาศัย อาคารพานิชย์ ร้านอาหาร เช่น Maze Cafe’ หรือว่า Mo Hotel โรงแรมรูปทรง
หลุดโลกที่ได้ทำงานออกแบบร่วมกับศิลปินชื่อไทวิจิตร พึ่งสมบูรณ์ ซึ่งกำลังก่อสร้างย่านถนนท่าแพ เมือง
เชียงใหม่ที่พร้อมจะเปิดตัวในเร็ววันนี้หัวเรือใหญ่แห่งแผลงฤทธิ์กล่าวว่าบริษัทฯนั้นมีงานยาวไปจนถึงสิ้นปีหน้า
โดยได้ขยายพื้นที่การออกแบบไปสู่พื้นที่อื่น ๆ แล้วอย่างจังหวัดภูเก็ตและเกาะสมุย นอกจากนี้เขายังได้เปิด
บริษัทรับเหมาก่อสร้างที่ชื่อว่า ‘บริษัทไร้เทียมทาน’ เพื่อรองรับงานก่อสร้างไปในเวลาเดียวกัน ”ที่ผ่านมาผม
ทำงานไปนับสิบโครงการในปี ๆ หนึ่ง ในอนาคตอยากจะจำกัดงานของเราให้เหลือปีละแค่ห้าโปรเจคเท่านั้น
ก็พอเพื่อให้ได้คุณภาพดี” ในการทำงานออกแบบแต่ละโครงการนั้น ขวัญชัย เน้นว่าต้องคำนึงถึงภาพรวมและ
ผลกระทบต่อเมืองด้วย ”ผมยึดความเหมาะสมก่อน ถ้าผมรับได้ลูกค้ารับได้ก็ win-win ทั้งคู่ ถ้าลูกค้าต้องการ
ตามใจฉันหมดโดยไม่มีเหตุผล ผมจะไม่ทำ ยิ่งให้สร้างคร่อมคลอง พาดลำเหมืองผมไม่เอา”



“ที่ผ่านมาผมทำงานออกแบบมาทุกรูปแบบไม่ว่าแนวล้านนาหรือแนวทรอปิคอล แต่คิดว่าเราต้องมีความ
ชัดเจนสักอย่าง ซึ่งเราเลือกที่จะทำงานในแนวนี้ที่เราชอบมากที่สุด การที่ทำอะไรแตกต่างย่อมถูกจับตา
มองเป็นธรรมดา คนอาจมองว่าเราจุดกระแสงานออกแบบแนวโมเดิร์นขึ้นที่นี่ แต่ผมไม่คิดอย่างนั้น ความจริง
งานแนวนี้มีมานานแล้ว เช่นปั้มน้ำมันหรือธนาคารก็เป็นงานออกแบบที่โมเดิร์นแต่เราเคยชินกับมันมาแต่ไหน
แต่ไร ที่จริงผมทำงานออกแบบแนวนี้มานานแต่เป็นบ้านตามซอกซอย พอช่วงหลังมีโอกาสออกแบบอาคาร
สาธารณะอย่างร้านอาหาร หรือสำนักงานที่คนพบเห็นมากทำให้รู้จักเรามากขึ้น”

ตามทัศนะของขวัญชัย งานสถาปัตยกรรมประกอบขึ้นจากองค์ประกอบเล็ก ๆ หลายส่วนและรวมกันเป็นส่วน
ประกอบของเมืองอีกที ซึ่งเมื่อวิถีชีวิตของคนเปลี่ยนไปสถาปัตยกรรมก็ย่อมเปลี่ยนไปด้วยอย่างเลี่ยงไม่ได้
“ลูกค้าบางคนบอกว่าต้องการอยู่บ้านแบบล้านนาดั้งเดิม อยากมุงกระเบื้องดินขอ แต่ก็ต้องการเครื่องปรับ
อากาศและสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งหลายแบบสมัยใหม่ ซึ่งคามคิดของผมเห็นว่าเป็นเรื่องที่ไม่เข้ากันเลย
กับวิถีชีวิตของเขาที่แตกต่างจากคนสมัยก่อนอย่างสิ้นเชิง การออกแบบทุกอย่างมันต้องมีที่มาที่ไปของมัน
เช่นการที่คนสมัยก่อนทำฝาไหลอยู่ข้างล่าง เพราะเขานอนบนพื้น ไม่ได้นอนเตียงเหมือนทุกวันนี้ ซึ่งเป็นเรื่อง
ที่ต้องมีความเข้าใจ ไม่ใช่เอามาใช้ผิดที่ผิดทาง” ในสายวิชาชีพขวัญชัยมีสถาปนิกที่เขาชื่นชอบในดวงใจ
หลายคน โดยเฉพาะสถาปนิกที่โด่งดังในระดับสากลอย่าง Rem Koolhass แห่งสำนัก OMA (The Office
for Metropolitan Architecture) แห่งเนเธอร์แลนด์ ที่เชี่ยวชาญด้านสถาปัตยกรรมและการออกแบบชุมชน
เมือง ซึ่งมีผลงานการออกแบบอาคารสำคัญ ๆ ทั่วโลก ขวัญชัยมองแนวโน้มทางการออกแบบสถาปัตยกรรม
ในอนาคตว่า “เทรนด์ของการออกแบบจะมุ่งไปในประเด็นที่เกี่ยวกับโลกร้อนมากขึ้น รวมทั้งเรื่องการพัฒนา
วัสดุก่อสร้างในเชิงชีวภาพ เช่นต่อไปที่อาจมีน้ำยาเคมีที่เชือมไม้หรือเหล็กให้เป็นเนื้อเดียวกันได้ อะไรทำนอง
นั้น” “ผมว่าต่อไปนั้นเทคโนโลยีและวัสดุจะเป็นตัวกำหนดเทรนนั้นออกมาเอง” หัวหน้ากลุ่มสถาปนิกรุ่นใหม่
ที่กำลังประสบความสำเร็จในเชียงใหม่ในวันนี้ กล่าวส่งท้าย

ทุกวันนี้ใครที่ได้มาเยือนเชียงใหม่ต่างกล่าวว่าโฉมหน้าของเชียงใหม่ในวันนี้เปลี่ยนไปอย่างมากท่ามกลาง
สภาพของเมืองที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว การก่อสร้างโครงการอสังหาริมทรัพย์ และอาคารพานิชย์ต่าง ๆได้
ผุดขึ้นให้เห็นกระจายอยู่ทั่วทั้งเมือง ถนนนิมมานเหมินท์หรือพื้นที่อยู่อาศัยต่าง ๆ กำลังแปรเปลี่ยนเป็นย่าน
ธุรกิจการค้าตามซอกมุมต่างๆ นั้นมีอาคารที่มีรูปลักษณ์ต่าง ๆ ที่ปนเปกันไปอย่างมีสีสัน ทั้งอาคารรูปทรง
อนุรักษ์อย่างล้านนา ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากอาคารแบบมินิมัลลิสต์ที่กำลังมาแรงในขณะนี้ อันแสดงถึงอัตลักษณ์
และทิศทางการเติบโตของเมืองเชียงใหม่ในปัจจุบันที่ยังยืนอยู่รากเหง้าวัฒนธรรมแบบเดิมเป็นสำคัญ แต่ก็
กำลังจะก้าวไปสู่ความเป็นเมืองสมัยใหม่อย่างเต็มตัวทั้งนี้บรรดานักออกแบบรุ่นหนุ่มสาวแห่งเชียงใหม่ต่าง ๆ
เหล่านี้ กำลังเป็น เรี่ยวแรงที่มีบทบาทอย่างสำคัญในกำหนดทิศทางการเปลี่ยนแปลงของเมือง ซึ่งโฉมหน้า
เชียงใหม่ในอนาคตนั้นย่อมขึ้นอยู่ภายใต้แนวคิดและมันสมองการออกแบบของคนรุ่นใหม่ที่แสดงออกบน
พิมพ์เขียวแต่ละแผ่นด้วยนั่นเอง

วันจันทร์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2551

อบรมครูร.รมิตรมวลชนเชียงใหม่








มะขามป้อมงานเข้า อบรมครูชียงดาวสุดฮอต โรงเรียนออเดอร์เพียบ

วันที่ 4-5 สิงหาคม ที่ผ่านมา โรงละครมะขามป้อมคึกคักอีกครั้ง เมื่อได้ต้อนรับ คณะครูจากโรงเรียนมิตรมวลชนเชียงใหม่ โรงเรียนน้องๆชาวเขา จากบ้านห้วยลึก อ.เชียงดาว โดยการนำของผ.อ สุดเวิร์ค อ. สำราญ ที่อุตส่าห์ปิดโรงเรียน เข้าร่วมอบรมโครงการพัฒนาศักยภาพเชิงสร้างสรรค์สำหรับครู เป็นการอบรม 2 วัน เรื่องเทคนิคการส่งเสริมการรักอ่าน

วิทยากร ก๋วย ต้อม จากฝ่ายละครการศึกษา เริ่มต้นที่การแลกเปลี่ยนพูดคุยประสบการณ์ส่วนตัว เรื่อง ความประทับใจจากการอ่าน บางคนชอบอ่านการ์ตูน เรื่องสั้น หรือ วรรณกรรม ที่ส่งผลต่อความเปลี่ยนแปลง เป็นแรงบันดาลใจ ในการดำเนินชีวิต แล้ว เริ่มออกแบบ มุมห้องสมุดในฝันของแต่ละคน แล้วมาออกแบบห้องสมุดในฝันของแต่ละทีม ทั้งห้องสมุดบนท้องฟ้า ในน้ำ บนดิน เน้นจินตนาการ และ ความคิดสร้างสรรค์กันให้บรรเจิดสุดฤทธิ์สุดเดช ส่วนช่วงบ่ายเป็นการเรียนรู้เทคนิคละครสร้างสรรค์มาสร้างการแสดงเล็กๆง่ายๆประกอบการเล่านิทานในห้องเรียนที่น่าสนใจ คุณครูทำสนุกสนานเพลิดเพลิน กันเลยทีเดียว
วันที่สอง เป็นการระดมเรื่องราว เรื่องเล่าในชุมชน เป็นนิทานพื้นบ้าน แล้ว สร้างเป็นนิทานประกอบการแสดง ด้วยเทคนิคการเล่าปากเปล่าโดยการเพิ่มท่าทาง น้ำเสียง ลีลาในการเล่า มากยิ่งขึ้น คุณครูทำได้ดี น่าชื่นชมมากๆเลยทีเดียว สุดท้ายเป็นการ นำนิทานพื้นบ้านที่ได้มา สร้างหุ่นสามประเภทได้แก่ หุ่นเงา หุ่นก้านเชิดและหุ่นมือ

ทั้งสองวันเป็นการอบรมที่ทำให้ครูได้แนวคิด เทคนิคการสอน และ กำลังใจ อย่งท่วมท้น หลังการอบรมครูจะเป็นกิจกรรมอบรมแกนนำนักเรียนโรงเรียนมิตรมวลชน เพื่อขยายเครือข่ายรักการอ่านในชุมชน ในเดือนถัดไป ระหว่างนี้มีโรงเรียนหลายโรงติดต่อมาร่วมกิจกรรมกับมะขามป้อมศูนย์เชียงดาวหลายโรงเรียน เช่น โรงเรียนปางเฟือง โรงเรียนบ้านถ้ำ โรงเรียนบ้านทุ่งหลุก โรงเรียนปลาดาว แม่แตง สนใจทั้งกิจกรรมอบรมครู ละครโรงเล็ก หรือ ค่ายเยาวชนต่างๆ ท่าทางเหล่าสต้าฟเชียงดาว ต้องทำงานหนักกันน่าดู แต่จะเป็นการทำงานหนักที่เต็มใจเป็นอย่างยิ่ง ที่จะได้ร่วมมือกันเปลี่ยนแปลงชุมชนเล็กๆของเราให้เป็นชุมชนที่ร่าอยู่สำหรับเด็กๆ ได้จริงๆ

Bookbike บุกเชียงดาว

BOOKBIKE นวัตกรรมส่งเสริมการอ่านในชุมชนเริ่มต้นแล้ว
ปูพรมทั่วเชียงดาวหวังสร้างกระแส “รักการอ่าน” ทั้งอำเภอให้ยั่งยืน

ตลอดเดือน กันยายนที่ผ่านมา โรงเรียนและศูนย์เด็กเล็กทั่วอำเภอเชีงดาวแตกตื่น เมื่อได้พบกับสิ่งประดิษฐ์สุดมหัศจรรย์ Bookbike ห้องสมุดเคลื่อนที่ ที่บรรจุหนังสือ นิทาน วรรณกรรมเยาวชน และ กิจกรรมน่าสนใจสำหรับเด็กมากมาย ทั้งการเล่านิทาน มายากล เกมสนุกๆ โดย พี่บอย พี่กั๊ก พี่นิสัน ตั้งใจมอบกิจกรรมดีๆ ที่อยากให้เด็กๆ สามารถเข้าถึงหนังสือ ดีๆมีประโยชน์ ส่งเสริมนิสัยการรักการอ่านนอกจากนั้นยังเป็นการต่อยอดการขยายผลจากกิจกรรมของแกนนำนักเรียนรักการอ่านในโรงเรียน จากโครงการปลูกต้นรักการอ่านปีที่ 1 ที่เพิ่งดำเนินการเสร็จสิ้นลงไปไม่นาน รถบุ้คไบท์จะตระเวณเข้าไปในทุกพื้นที่ ที่เด็กๆอยู่ เมื่อไปถึงจะจัดสถานที่นิดหน่อย เรียกเด็กๆด้วยการนำเกมสนุกๆ ร้องเพลง แล้ว จะเริ่ม บรรเลงกลยุทธ์หลอกเด็ก ด้วยการเล่านิทาน อ่านหนังสือ ชี้ชวนแนะนำหนังสือดีๆให้เด็กได้อ่าน อ่าน อ่าน และ อ่าน เด็กๆ จากศูนย์เด็กเล็ก น้องนักเรียนโรงเรียนประถมหลายแห่งในอำเภอ นั่งนิ่งอ่านหนังสืออย่างมีสมาธิ ที่ดูจะขัดแย้งกับงานวิจัยว่าเด็กไทยไม่ชอบอ่านหนังสือ หรือ อ่านหนังสือปีละ 7 บรรทัด แท้ที่จริงอาจเป็นเพราะเด็กไทยไม่มีหนังสือที่เหมาะกับเด็กให้อ่าน หรือ เด็กเข้าไม่ถึงหนังสือมากกว่า ที่น่ายินดีคือผ็บริหาร คณะครูเกือบทุกโรงเรียนที่เราแวะเวียนไป ต่างต้อนรับกิจกรรมอย่างอบอุ่น สนุกสนาน มีโรงเรียนอีกหลายแห่งติดต่อ เข้าคิวรอให้รถบุ้คไบท์ไปเปิดบริการในพื้นที่อีกเป็นจำนวนมาก ต้องขอบพระคุณมูลนิธิ สตาร์ฟิช ที่สนับสนุนการสร้างรถมอเตอร์ไซค์ห้องสมุดเคลื่อนที่ และ กิจกรรมดีๆอย่างนี้ให้มะขามป้อมดำเนินการได้บรรลุผล
ที่น่าชื่นใจไปกว่านั้นก็คือ กลุ่มบริษัท แปลน ที่พาพนักงานเดินทางขึ้นมาทำกิจกรรมดีๆเพื่อสังคม เมื่อเดือนก่อน ในโครงการ PSR หรือ Plan Social Responsibility เพื่อเตรียมสร้างห้องสมุดในชุมชนบ้านออน หนึ่งในพื้นที่ ที่มะขามป้อมทำงานอยู่ด้วย มีความสนใจในโครงการ ห้องสมุดเคลื่อนที่ จึงจัดประกวด การออกแบบรถห้องสมุดเคลื่อนที่ โดยได้รับความสนใจจากนักออกแบบ ส่งแบบเข้าประกวดมากถึง 14 แบบ โดยให้ผู้ออกแบบได้นำเสนอแนวคิดในการออกแบบแก่กรรมการตัดสิน ที่มีป้านวล และ ป้าหมวย ร่วมเป็นคณะกรรมการ กับพี่ๆสถาปนิกรุ่นใหญ่ของบริษัท แต่ละแบบก็ล้วนแล้วแต่มีความน่าสนใจ จุดเด่นกันไปคนละแบบ ในที่สุด ก็ได้แบบที่ชนะเลิศที่ผสมผสานแนวคิดสองแบบเข้าด้วย และ นักออกแบบจะร่วมกันพัฒนาแบบ จนเป็นรถห้องสมุดเคลื่อนที่ ที่พร้อมจัดสร้างและ ส่งมอบให้กับมะขามป้อมศูนย์เชียงดาว ใช้งานได้จริง ราวๆเดือนตุลาคมนี้ ส่วนแบบที่เหลือทั้ง 12 แบบ มะขามป้อมจะพยายามผลักดันให้สามารถสร้างได้จริง จากการสนับสนุนขององค์กรในท้องถิ่น เพื่อสร้างเป็นรถห้องสมุดเคลื่อนที่ในหมู่บ้านต่อไป งานดีๆแบบนี้มะขามป้อมต้องขอขอบพระคุณนักออกแบบทุกท่าน ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่จากบริษัทแปลน ที่ริเริ่มโครงการดีๆเพื่อชุมชน และ สังคมได้อย่างน่าชื่นชม